แชร์

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออะไร?

อัพเดทล่าสุด: 2 พ.ค. 2025
17 ผู้เข้าชม

"สเต็มเซลล์" จุดเริ่มต้นของชีวิต และกุญแจสำคัญแห่งการฟื้นฟู

 


สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออะไร?
เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) เปรียบเสมือน "เซลล์ต้นแบบ" ของร่างกายมนุษย์ คือเซลล์ที่ยังไม่มีหน้าที่เฉพาะในตัวเอง แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพอันน่าทึ่ง ทั้งในด้านการแบ่งตัวได้ไม่จำกัด และการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ตามความต้องการของร่างกาย เช่น เซลล์สมอง เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือด หรือเซลล์ผิวหนัง

ความพิเศษของสเต็มเซลล์มีอยู่ 3 อย่างหลัก ๆ คือ

1. ยังไม่มีภารกิจเฉพาะ (Undifferentiated)
2. สามารถจำลองตัวเองได้เรื่อย ๆ (Self-renewal)
3. พร้อมพัฒนาไปเป็นเซลล์เฉพาะทาง (Differentiation)
 

สเต็มเซลล์มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโต การซ่อมแซมร่างกาย และการรักษาโรค โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับเซลล์ที่เสื่อมสภาพหรือถูกทำลาย

 

สเต็มเซลล์ในร่างกายมนุษย์มี 2 ประเภท คือ

1. สเต็มเซลล์เม็ดเลือด (Hematopoietic Stem Cells HSCs) 

2. สเต็มเซลล์เนื้อเยื่อ (Mesenchymal Stem Cells MSCs)

 

Hematopoietic Stem Cells (HSCs) คืออะไร?
Hematopoietic Stem Cells หรือเรียกย่อว่า HSCs คือสเต็มเซลล์ชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่สำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดทุกชนิดในร่างกายมนุษย์ โดยคำว่า Hematopoietic มาจากรากศัพท์ภาษากรีก คือ Hema หมายถึง เลือด และ Poiesis หมายถึง การสร้าง ดังนั้น HSCs จึงเป็น เซลล์ต้นกำเนิดของระบบเลือด

หน้าที่ของ Hematopoietic Stem Cells (HSCs)
สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดได้ทุกชนิด ได้แก่

- เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cells) ขนส่งออกซิเจน
- เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cells) ป้องกันการติดเชื้อ
- เกล็ดเลือด (Platelets) ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและสมานแผล

ด้วยความสามารถในการแบ่งตัวและสร้างเซลล์เม็ดเลือดอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต HSCs จึงมีความสำคัญในการรักษาความสมดุลของระบบไหลเวียนโลหิต และระบบภูมิคุ้มกัน

แหล่งที่มาของ Hematopoietic Stem Cells (HSCs)
สามารถเก็บได้จากแหล่งสำคัญ 3 แหล่ง ได้แก่ 

- เลือดจากสายสะดือ (Umbilical Cord Blood) : แหล่งของ HSCs ที่มีคุณภาพดีมาก โดยเฉพาะในเด็กแรกเกิด
เป็นแหล่งที่ปลอดภัยและไม่เจ็บปวดในการเก็บ
- ไขกระดูก (Bone Marrow) : แหล่งดั้งเดิมที่ใช้ในกระบวนการปลูกถ่ายไขกระดูก ต้องเก็บโดยการดูดเลือดจากกระดูกเชิงกรานภายใต้การดูแลของแพทย์
- เลือดจากร่างกาย (Peripheral Blood) : ต้องกระตุ้นให้ HSCs เคลื่อนออกจากไขกระดูกเข้าสู่กระแสเลือด แล้วจึงแยกออกด้วยเครื่องเฉพาะทาง

ใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง?
- มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
- โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
- โรคไขกระดูกฝ่อ (Aplastic Anemia)
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (SCID)
- โรคโลหิตจางชนิดรุนแรง
- โรคที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดง
- โรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญสารอาหาร (Metabolic Disorders)

จุดเด่นของ Hematopoietic Stem Cells (HSCs)
มีการใช้งานทางการแพทย์แล้วจริงมานานกว่า 60 ปี มีงานวิจัยและประสบการณ์รองรับมากที่สุดในกลุ่มสเต็มเซลล์ ปลอดภัยเมื่อนำไปใช้ในผู้ป่วยที่มีการจับคู่ที่เหมาะสม การเก็บ HSCs ตั้งแต่แรกเกิด โดยเฉพาะจาก เลือดสายสะดือ ถือเป็นการวางแผนสุขภาพที่ชาญฉลาด เพราะเป็นแหล่งที่สะอาด ปลอดการเจ็บปวด และไม่มีผลกระทบกับแม่หรือเด็ก เก็บได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตและนำไปใช้รักษาโรคร้ายแรงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

Mesenchymal Stem Cells (MSCs) คืออะไร?

Mesenchymal Stem Cells หรือ MSCs คือเซลล์ต้นกำเนิดชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มสเต็มเซลล์จากเซลล์ที่เจริญแล้ว (Adult Stem Cells) โดยมีความสามารถในการพัฒนาเป็นเซลล์หลายชนิดในเนื้อเยื่อชั้นกลางของร่างกาย (Mesodermal Lineage) เช่น เซลล์กระดูก, เซลล์ไขมัน, เซลล์กระดูกอ่อน และกล้ามเนื้อ MSCs ถือเป็น เซลล์ต้นกำเนิดแบบ Multipotent ซึ่งหมายความว่าแม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกชนิดของเซลล์ แต่ก็สามารถเปลี่ยนได้ในกลุ่มเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกัน และมีความสามารถในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ ลดการอักเสบ และ ฟื้นฟูสมดุลระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ MSCs จึงได้รับความนิยมอย่างมากในวงการแพทย์ เวชศาสตร์ฟื้นฟู และความงาม

แหล่งที่มาของ Mesenchymal Stem Cells (MSCs)

1.เนื้อเยื่อสายสะดือ (Umbilical Cord Tissue) 

แหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดที่มากกว่าการเป็นสายใยชีวิต "สายสะดือ" คือโครงสร้างที่เชื่อมระหว่างทารกในครรภ์กับรกของแม่ ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนให้ทารกในระหว่างตั้งครรภ์ แต่รู้หรือไม่ว่า ภายในสายสะดือนั้นยังประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่มีค่ามหาศาลทางการแพทย์ เรียกว่า "เนื้อเยื่อสายสะดือ" (Umbilical Cord Tissue) บริเวณที่เรียกว่า Whartons Jelly ซึ่งเป็นวัตถุคล้ายเจลลี่ที่ล้อมรอบเส้นเลือดภายในสายสะดือ คือแหล่งที่อุดมไปด้วย Mesenchymal Stem Cells (MSCs) ซึ่งเป็นสเต็มเซลล์ชนิดพิเศษที่มีศักยภาพสูงในการฟื้นฟูร่างกายและซ่อมแซมอวัยวะที่เสื่อมสภาพ MSCs จากสายสะดือมีความสามารถทางชีวภาพสูงกว่าสเต็มเซลล์ที่ได้จากแหล่งอื่น และเป็นเซลล์ที่ไม่มีการปนเปื้อนจากมลภาวะหรือโรคสะสม จึงเป็นที่นิยมสำหรับการนำไปใช้ทางการแพทย์ในปัจจุบันและอนาคต คุณสมบัติพิเศษของ MSCs จากเนื้อเยื่อสายสะดือ คือ เป็นเซลล์อ่อนวัย (young cells) ที่ยังไม่เสื่อม แบ่งตัวได้ดีและพัฒนาไปเป็นเซลล์หลายชนิด เช่น กระดูก ไขมัน กระดูกอ่อน และกล้ามเนื้อ มีคุณสมบัติในการ ลดการอักเสบ, กระตุ้นการซ่อมแซมและเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

การนำเนื้อเยื่อสายสะดือไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อสายสะดือได้รับการวิจัยและพัฒนาให้ใช้ในหลายสาขาทางการแพทย์ เช่น

1. ฟื้นฟูข้อเข่าและกระดูกอ่อน : ใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อมโดยช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกอ่อนใหม่ ลดการอักเสบในข้อ ทำให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
2. ฟื้นฟูหลอดเลือดและกล้ามเนื้อ : ใช้รักษาโรคหลอดเลือดขาอุดตัน (Critical Limb Ischemia) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและลดการตัดอวัยวะ
3. ดูแลโรคทางระบบประสาท : มีการศึกษานำไปใช้ในผู้ป่วยพาร์กินสัน อัมพาต และภาวะบาดเจ็บไขสันหลัง MSCs ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเส้นประสาทและลดการอักเสบ
4. บรรเทาอาการของโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง : เช่น Graft-versus-Host Disease (GVHD) ในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ MSCs ช่วยปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน ลดการต่อต้านอวัยวะที่ปลูกถ่าย
5. เสริมการฟื้นฟูในโรคเบาหวานและโรคเรื้อรัง : ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ กระตุ้นการซ่อมแซมหลอดเลือดฝอยและเนื้อเยื่อที่เสียหายจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง


2.เนื้อเยื่อหุ้มรก (Amnion / Placenta)
เป็นขุมพลังแห่งการฟื้นฟูจากธรรมชาติที่หลายคนมองข้าม "เนื้อเยื่อหุ้มรก" คือชั้นบาง ๆ ที่ห่อหุ้มตัวอ่อนและของเหลวภายในถุงน้ำคร่ำตลอดการตั้งครรภ์ ทำหน้าที่คล้าย เกราะธรรมชาติ ที่ช่วยปกป้องทารกจากการติดเชื้อ ภาวะแทรกซ้อน และแรงกระแทกจากภายนอก นอกจากหน้าที่ทางชีววิทยาขณะตั้งครรภ์แล้ว นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เนื้อเยื่อหุ้มรกและรก (Placenta) อุดมไปด้วยเซลล์ต้นกำเนิดชนิด Mesenchymal Stem Cells (MSCs) ซึ่งมีศักยภาพสูงในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ฟื้นฟูอวัยวะ และฟื้นคืนความสมดุลของร่างกายอย่างลึกซึ้ง โดยคุณสมบัติของ MSCs จากเนื้อเยื่อหุ้มรกนั้นเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่อ่อนวัย (young cells) เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นเซลล์กระดูก กระดูกอ่อน ไขมัน และเซลล์ประสาทบางชนิดได้ มีคุณสมบัติเด่นด้าน การต้านการอักเสบ, การปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน, และ การซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย MSCsจากเนื้อเยื่อหุ้มรก จึงเป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงเวชศาสตร์ฟื้นฟูและเวชศาสตร์ชะลอวัย

การนำ MSCs จากเนื้อเยื่อหุ้มรกไปใช้ในทางการแพทย์
1. ฟื้นฟูระบบประสาทและสมอง : มีการศึกษาวิจัยว่าสามารถช่วยซ่อมแซมเซลล์ประสาทที่ถูกทำลายได้ ใช้ในการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน,อัลไซเมอร์,อัมพาตจากการบาดเจ็บของไขสันหลัง,สมองขาดออกซิเจนในทารกแรกเกิด
2. ซ่อมแซมเนื้อเยื่อและอวัยวะ : ใช้รักษาบาดแผลเรื้อรัง เช่น แผลเบาหวาน แผลไฟไหม้ ใช้ในการสมานแผลผ่าตัด หรือแผลที่ผิวหนังลึก ส่งเสริมการงอกใหม่ของเนื้อเยื่อ
3. ใช้ในการปลูกถ่ายหรือผ่าตัดตา : เยื่อหุ้มรกมีความบาง ยืดหยุ่น และโปร่งใส จึงเหมาะกับการใช้ในการผ่าตัดต้อกระจกหรือซ่อมแซมกระจกตา
4. เวชศาสตร์ชะลอวัย : MSCs จากรกมีความสามารถสูงในการซ่อมแซมเซลล์เสื่อมและลดการอักเสบ มีการนำไปใช้ร่วมกับการบำบัดด้วย Exosome และ PRP เพื่อเสริมการฟื้นฟูผิวพรรณและสุขภาพภายใน

 

3. สเต็มเซลล์จากไขมัน (Adipose Tissue)
พลังแห่งการฟื้นฟูที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของคุณ "ไขมัน" ไม่ใช่แค่ส่วนเกิน แต่คือแหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดคุณภาพสูง เนื้อเยื่อไขมัน (Adipose Tissue) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนที่หลายคนต้องการกำจัดเท่านั้น แต่ยังซ่อนแหล่งสำคัญของ Mesenchymal Stem Cells (MSCs) หรือที่เรียกว่า ADSCs (Adipose-Derived Stem Cells) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่มีศักยภาพสูงในการ ซ่อมแซม ฟื้นฟู และลดการอักเสบ ภายในร่างกาย สเต็มเซลล์จากไขมันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถเก็บได้ง่าย ปลอดภัย และได้ปริมาณเซลล์ที่สูงเมื่อเทียบกับแหล่งอื่น โดย MSCs จากไขมันแบ่งตัวได้ดี และพัฒนาเป็นเซลล์ไขมัน กระดูก กระดูกอ่อน และกล้ามเนื้อได้ มีคุณสมบัติเด่นในการ ลดการอักเสบระดับเซลล์ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อม เป็นเซลล์จากร่างกายของผู้ป่วยเอง จึงลดความเสี่ยงการแพ้และการต่อต้าน

การนำ MSCs จากสเต็มเซลล์ไขมันไปใช้งานทางการแพทย์
1. ฟื้นฟูข้อต่อและกล้ามเนื้อ : ใช้ในการรักษา ข้อเข่าเสื่อม หรือภาวะกระดูกอ่อนเสื่อม ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อเรื้อรัง
2. ฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน : เหมาะกับผู้มีปัญหา โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune diseases) เช่น SLE หรือรูมาตอยด์ ลดการอักเสบโดยไม่ต้องใช้ยาเคมีในระยะยาว
3. ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพโดยรวม : กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มพลังงานระดับเซลล์ ลดความเหนื่อยล้าเรื้อรัง ใช้ร่วมกับ Exosome หรือ PRP Therapy เพื่อเสริมผลลัพธ์
4. ด้านความงามและศัลยกรรมตกแต่ง : เติมเต็มใบหน้า ฟื้นฟูผิวหน้าให้เต่งตึง ซ่อมแซมรอยแผลเป็น รอยยุบ และผิวที่เสื่อมจากอายุ

 

4. สเต็มเซลล์จากไขกระดูก (Bone Marrow)

ไขกระดูก (Bone Marrow) คือเนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่ภายในโพรงของกระดูก โดยเฉพาะบริเวณกระดูกเชิงกราน กระดูกหน้าอก และกระดูกต้นขา มีหน้าที่สำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดของร่างกายทั้งหมด ได้แก่: เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ภายในไขกระดูกยังเป็นแหล่งของ สเต็มเซลล์สองประเภทสำคัญ ได้แก่:

Hematopoietic Stem Cells (HSCs) เซลล์ต้นกำเนิดของระบบเลือด
Mesenchymal Stem Cells (MSCs) เซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถเปลี่ยนเป็นกระดูก ไขมัน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

ไขกระดูกเป็นแหล่ง MSCs ดั้งเดิมที่ใช้ทางการแพทย์มาอย่างยาวนาน ต้องใช้การเจาะดูดจากกระดูกเชิงกราน ในปัจจุบันมีการใช้งานจริงในคลินิกเฉพาะทางใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวาย โรคตับ และไขสันหลังบาดเจ็บ ฟื้นฟูเซลล์ที่สูญเสียจากการบาดเจ็บรุนแรง

การนำสเต็มเซลล์จากไขกระดูกไปใช้ประโยชน์
1. การปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow Transplantation) : ใช้รักษาผู้ป่วยที่ระบบเลือดเสียหายหรือถูกทำลายจากเคมีบำบัด เหมาะกับโรคที่เกี่ยวข้องกับไขกระดูก เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, ธาลัสซีเมีย
2. ฟื้นฟูอวัยวะและเนื้อเยื่อ : รักษาโรคหัวใจ (เช่น หัวใจวาย) โดยใช้ MSCs ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหัวใจ ใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บไขสันหลัง, โรคข้อเข่าเสื่อม หรือโรคตับ
3. ชะลอวัยและเสริมภูมิคุ้มกัน
MSCs จากไขกระดูกช่วยลดการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย
ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อม และปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน

 

 

5. สเต็มเซลล์จากฟันน้ำนม / ฟันกรามคุด (Dental Pulp Stem Cells DPSCs)

ฟันน้ำนมและฟันกรามคุด อาจเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่จริงๆแล้ว คือแหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดที่มีศักยภาพสูง เป็นทางเลือกที่เข้าถึงง่าย สำหรับการดูแลสุขภาพระยะยาว ฟันของคุณอาจเป็นมากกว่าที่คิด หลายคนอาจไม่รู้ว่า ภายในฟันน้ำนมและฟันกรามคุดของเรา มีเนื้อเยื่อโพรงฟัน (Dental Pulp) ซึ่งเป็นแหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Mesenchymal Stem Cells (MSCs) โดยเฉพาะ Dental Pulp Stem Cells (DPSCs) ซึ่งมีความสามารถในการพัฒนาไปเป็นเซลล์อื่น ๆ ได้ เช่น เซลล์ประสาท เซลล์กระดูก เซลล์กระดูกอ่อน เซลล์ไขมัน และเซลล์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่น ๆ เนื่องจาก DPSC เป็นเซลล์ที่ได้จากร่างกายของตนเองจึงมีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงในการต่อต้านหรือการแพ้ และเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ เก็บง่าย ปลอดภัย และเหมาะกับการใช้งานในอนาคต

แหล่งที่มาของ Dental Pulp Stem Cells
1.ฟันน้ำนม (Deciduous Teeth) : เหมาะสำหรับเด็กอายุ 512 ปี เมื่อฟันน้ำนมเริ่มโยกตามธรรมชาติ ควรเก็บฟันที่ยัง มีโพรงฟันสมบูรณ์ และไม่ได้ผุหรือแตก ควรเก็บทันทีหลังการถอนโดยทันตแพทย์ เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของเซลล์
2.ฟันกรามคุด (Wisdom Teeth) : นิยมเก็บในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ มักต้องถอนฟันกรามคุดออกอยู่แล้ว จึงสามารถนำมาเก็บเนื้อเยื่อโพรงฟันเพื่อแยกสเต็มเซลล์ได้ เป็นแหล่ง MSCs คุณภาพดีสำหรับใช้ในผู้ใหญ่

การนำสเต็มเซลล์จากฟันไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
1. เวชศาสตร์ฟื้นฟูและชะลอวัย : ซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเซลล์ที่เสื่อม เช่น ผิวหนัง หลอดเลือด ช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเสริมสมรรถภาพร่างกาย
2. ฟื้นฟูระบบประสาท :  DPSCs สามารถพัฒนาเป็นเซลล์ประสาทบางชนิด มีการศึกษานำมาใช้กับโรคพาร์กินสัน อัมพาต อัลไซเมอร์ และไขสันหลังบาดเจ็บ
3. ทันตกรรมและการปลูกกระดูก : ใช้ฟื้นฟูกระดูกขากรรไกรในผู้ป่วยปลูกฟันเทียม ซ่อมแซมเนื้อเยื่อเหงือกและเนื้อเยื่อรอบรากฟัน


บทความที่เกี่ยวข้อง
“การเก็บสเต็มเซลล์” ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป
ในอดีต “สเต็มเซลล์” หรือเซลล์ต้นกำเนิด อาจฟังดูเหมือนเทคโนโลยีล้ำยุคที่ไกลตัว แต่ในวันนี้มันได้กลายเป็นโอกาสที่จับต้องได้จริง ที่ครอบครัวทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญในการวางแผนสุขภาพระยะยาว โดยเฉพาะกับคนที่คุณรักตั้งแต่วันแรกของชีวิต
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ